สำหรับมนุษย์ในปัจจุบันนั้น
นักมนุษยวิทยาพบว่า มีลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากมนุษย์ในอดีตอยู่หลายประการ คือ
1.ยืนตัวตรง เคลื่อนที่ด้วยขา
2 ขา ช่วงขายาวกว่าช่วงแขน
2.หัวแม่มือสั้นและงอ
พับเข้ามาที่อุ้งมือได้ สามารถงอนิ้วทั้ง 4 ได้ จึงใช้จับ
ดึง ขว้าง ทุบ ฉีก แกะ และทำกิจกรรมต่างๆได้ รวมทั้งการออกแบประดิษฐ์เครื่องมือ
เครื่องใช้ได้
3.กระดูกคอต่อจากใต้ฐานหัวกะโหลก
กระดูกสันหลังโค้งเล็กน้อย เป็นรูปตัว เอสและสมองมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับร่างกาย
หน้าสั้นแบน หน้าผากค่อนข้างตั้งตรงขากรรไกรสั้น
4.กระดูกสะโพกกว้าง
ใหญ่และแบนให้กล้ามเนื้อเกาะเพื่อให้ลำตัวตั้งตรงเท้าแบนร่างกายไม่ค่อยมีขนแนวฟันโค้งเกือบเป็นรูปครึ่งวงกลม
การศึกษาค้นคว้าเปรียบเทียบซากดึกดำบรรพ์ของมนุษย์ในอดีต นอกจากทำให้นักมนุษยวิทยาทราบความเป็นมา
ของบรรพบุรุษมนุษย์ในอดีตแล้ว
ยังทำให้สามารถอธิบายถึงความเป็นอยู่
และการดำลงชีวิตของมนุษย์ในแต่ละยุดได้อีกด้วย
คือ
1.
การอยู่เยี่ยงเดรัจฉาน ( savagery ) เป็นยุดที่มนุษย์เพศชายยังทำหน้าที่ล่าสัตว์และแสวงหา
พืช ผัก ผลไม้เป็นอาหารตามธรรมชาติ แบ่งออกเป็น 3 ระยะ
1.1 ระยะก่อนรู้จักใช้ไฟและภาษา ตรงกับยุดหินเช่นเก่า ( Eolithic ) พบในมนุษย์พวก Homo habilis
1.2 ระยะรู้จักใช้ไฟและภาษา ตรงกับเก่าเช่นกัน มนุษย์พวกนี้รู้จักใช้ถํ้าเป็นที่อยู่ อาศัย
ได้แก่ พวกมนุษย์ Homo
erectus ซึ่งก็คือ
มนุษย์ชวาและมนุษย์ปักกิ่ง นั้นเอง
1.3 ระยะรู้จักประดิษฐ์ธนูและลูกศร ตรงกับยุดหินกลาง
มนุษย์พวกนี้รู้จักการใช้หนังสัตว์เป็นเครื่องนุ่งห่มได้แก่ มนุษย์Homo sapiens
2.การอยู่อย่างป่าเถื่อน(Babarism)เป็นยุคที่มนุษย์รู้จักการใช้โลหะทำเครื่องมือ ทำการเกษตรกรรม ทอผ้า
สังคมในยุคนี้มีระบบทาส
เพศชายมีภรรยาได้
หลายคน และทำหน้าที่ปกครอง ส่วนเพศหญิงทำหน้าที่เป็นแม่บ้านแบ่งเป็น 3 ระยะคือ
2.1ระยะแรกประมาณ 12000 ปีมาแล้ว ยุคนี้มนุษย์รู้จักการปลูกบ้านสร้างเรือนเพื่ออยู่อาศัย
รู้จักใช้ขวานมีด้ามและใช้เครื่องปั้นดินเผา
2.2ระยะกลางประมาณ 10000 ปีมาแล้วมนุษย์ยุคนี้รู้จักการเลี้ยงสัตว์การเกษตรกรรมรู้จักใช้สัตว์ช่วยในการไถนาหรือบรรทุกสิ่งของ
2.3ระยะหลังประมาณ 7000ปีมาแล้ว มนุษย์รู้จักใช้โลหะทำอาวุธหรือเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ
3.การอยู่อย่างมีอารยธรรม(Civilization)เป็นยุคที่มนุษย์รู้จักการประดิษฐ์เครื่องทุ่นแรง
มีการใช้ตัวอักษรในการสื่อความหมาย สังคมเปลี่ยนจากเกษตรกรรมเป็นอุตสาหกรรม
ผลจากการวิวัฒนาการในช่วงเวลายาวนาน
ทำให้มนุษย์ในปัจจุบันมีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันไปหลายแบบ ทั้งในแง่ของเส้นผม
รูปร่าง ใบหน้า ความสูง รูปทรงศีรษะ หรือแม้กระทั่งสีผิว
ทั้งๆที่ต่างก็เป็นสปีชีส์เดียวกัน มานุษยวิทยามีความเชื่อว่าในอดีตนั้นมนุษย์มีผิวสีเข้มเพียงสีเดียวเนื่องจากไม่มีขนหนาๆปกคลุมร่างกายเหมือนไพรเมตอื่นๆ
จึงต้องมีผิวสีเข้ม เพื่อป้องกันอันตรายจากรังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์
ต่อมาเมื่อมนุษย์มรการกระจายพันธ์ไปยังบริเวณต่างๆทั่วโลกโดยเฉพาะในบริเวณที่มีสภาพภูมิอากาศอบอุ่นหรือเขตหนาวซึ่งได้รับแสงอาทิตย์น้อยกว่าเขตร้อนมากมนุษย์จึงมีการปรับตัวที่ละน้อยๆกลายเป็นมนุษย์ที่มีสีผิวแตกต่างกัน
1.เผ่าคอเคซอยด์(Caucasoid)มีหนวดเคราและขนตามตัวดก จมูกโด่ง มีสีผิวอ่อน
ได้แก่มนุษย์ที่อาศัยในแถบยุโรปและชาวอาหรับ
2.เผ่ามองโกลอยด์(Mongoloid)มีหนวดเคราและขนตามตัวน้อย จมูกแฟบ โหนกแก้มสูง ตาชั้นเดียว มีผิวสีเหลืองหรือสีน้ำตาล
ได้แก่ มนุษ ย์แถบเอเชียและชาวเอสกิโม
3.เผ่านีกรอยด์(Negroid)มีผมหยิก ผิวดำ จมูกแฟบ ริมฝีปากหนา ได้แก่พวกปิกมี ZPigme)หรือพวกที่อยู่ทางใต้ทะเลทรายซาฮารา
4.เผ่าออสเตรลอยด์(Australoid)มีขนและเคราดำ ผมหยิก ผิวดำ ได้แก่ชนพื้นเมืองของออสเตรเลีย
และหมู่เกาะฟิลิปปินส์
จะเห็นได้ว่าวิวัฒนาการของมนุษย์นั้นไม่หยุดนิ่ง
มนุษย์รู้จักใช้เหตุผลเพื่อปรับปรุงการดำรงชีพให้เหมาะสม สามารถสร้างเครื่องมือนานาชนิดในการดำรงชีพมนุษย์รู้จักคิดและใช้ปัญญาในการเรียนรู้ด้วยประสบการณ์โดยอาศัยปัญหาในอดีตเป็นแนวทางเพื่ออนาคต รู้จักริเริ่มการมีภาษาพูด ขนบธรรมเนียมประเพณี
ศาสนาและจริยธรรมเมื่อรวมกลุ่มเป็นสังคมก็มีวัฒนธรรมแตกต่างกันไป
ตามแต่ละท้องถิ่นสืบทอด หลายชั่วอายุ ตลอดมา
มีความสามารถในการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น